เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2565
เรื่อง ปล่อยวางกาย
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
ครับ สวัสดีครับทุกๆ ท่าน เสียงสัญญาณชัดเจนดีนะครับ ในระหว่างที่รอเพื่อน ๆ เข้ามา อยากให้เราน้อมจิตพิจารณาว่า ทานเราได้ทำเป็นปกติ มีการให้ การสงเคราะห์ การทำบุญเป็นปกติ ศีลเรารักษาเป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระหว่างที่เราฝึกปฏิบัติสมาธิ เจริญพระกรรมฐาน ศีลของเราบริสุทธิ์ ความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัยเรามีพร้อมเต็มอยู่ พรหมวิหาร 4 คือว่าเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ปรากฎเต็มถึงพร้อมในจิตของเรา ให้เราทุกคนพิจารณาไว้ให้เป็นปกติทุกครั้ง ไม่ว่าเราจะปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานในที่ใดก็ตาม และระหว่างนี้ก็ให้เรากำหนดความรู้สึก ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ทั่วทั้งร่างกายของเรา และก็เริ่มกำหนดผ่อนคลายร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย การผ่อนคลาย กำหนดรำลึกเสมอว่า การผ่อนคลายร่างกาย การคลายกล้ามเนื้อ คือการปล่อยวางร่างกาย การปล่อยวางร่างกายก็เท่ากับเป็นการตัดขันธ์ 5 ตัดร่างกาย ตัดความสนใจในร่างกาย ยิ่งร่างกายเราผ่อนคลายมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับในระดับของจิตใต้สำนึกของเรา ปล่อยวางจากร่างกายมากขึ้นเพียงนั้น
กำหนดปล่อยวางร่างกาย ผ่อนคลายร่างกาย และกำหนดจดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย ๆ รู้สึกถึงความเบาสบายของลมหายใจ รู้สึกถึงความเบาสบายของจิต ยิ่งปล่อยวางกาย จิตยิ่งเบา อยู่กับลมหายใจสบาย อยู่กับความสงบผ่องใสของจิต เมื่อจิตเบา ลมหายใจเบาละเอียด กำหนดจินตนาการให้เห็นภาพ ลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหมระยิบระยับ พริ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา กำหนดความรู้สึก กลั่นลมหายใจให้เป็นปราณ เป็นพลังชีวิต ไหลเวียนถ่ายทอดเข้าสู่กายของเรา สัมผัสได้ถึงอณู อนุภาพของลมหายใจที่เป็นปราณ เป็นความละเอียด เป็นความผ่องใส กายจิตยิ่งมีความเบา ยิ่งมีความสบายมากขึ้น เพิ่มขึ้น วางอารมณ์ใจ สบายๆ ยังกำหนดให้สติจดจ่ออยู่กับลมหายใจ ที่เป็นเหมือนกับแพรวไหมระยิบระยับ ผ่านเข้าออก เราเป็นผู้ติดตามดู ติดตามรู้ในลมหายใจ วางอารมณ์ด้วยความผ่องใส
เคล็ดลับของการปฏิบัติในสมถกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกในอานาปานสติ การทำฌาน 4 ให้ปรากฏยังความสงบของจิตให้ถึงพร้อมในองค์แห่งฌาน เคล็ดลับในการปฏิบัติก็คือ ยิ่งร่างกายเราผ่อนคลาย และเรามีความรู้สึกปล่อยวาง จากร่างกายพร้อมไปในระหว่างที่เราผ่อนคลายมากเท่าไหร่ จิตยิ่งรวมลงสู่สมาธิได้ง่ายขึ้น ไวขึ้น สองยิ่งเราวางอารมณ์เบามากเท่าไหร่ อารมณ์จิตไม่มีสภาวะที่มีการบีบ เค้น เพ่ง เคร่งเครียด หรือที่เรียกว่าอารมณ์หนัก สมาธิก็จะมีความผ่องใส จิตมีความเบา มีความคล่องตัว ปล่อยวางร่างกาย การตัดร่างกาย การตัดขันธ์ 5 จึงเป็นเคล็ดสำคัญในการฝึกสมาธิให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ผ่อนคลาย ปล่อยวางร่างกาย อยู่กับลมหายใจสบาย สงบ ใจแย้มยิ้ม เบิกบานอยู่ภายใน
กำหนดรู้ในความสงบผ่องใส จิตสงบก็รู้ว่าสงบ จิตมีความผ่องใส ก็รู้ว่าผ่องใส จิตเกิดความสุขจากความสงบเราก็กำหนดรู้ว่าเราเข้าถึงความสุขในสมาธิ ความสุขในสมาธินั้นปรากฏขึ้นในจิตของเรา อารมณ์สุขของสมาธิ คือ สภาวะที่ใจเราได้พักจากการปรุงแต่ง จิตมีความเบา ความสบาย มีความสงัดจากนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ มีความสงบสงัดจากการปรุงแต่ง ฟุ้งไปในเรื่องต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ ก่อให้เกิดความกังวลบ้าง ก่อให้เกิดความโลภ ความอยากความปราถนา ความเร่าร้อน ความโกรธ ความหลง เมื่อจิตเราสงบระงับจากกิเลส จิตได้พักอยู่กับความสงบของสมาธิความสงบของจิตปรากฏ สุขของสมาธิก็ชัดเจนกับใจของเรา ให้เรากำหนดซึมซับรับในความสุขของความสงบ ให้จิตเราได้พักอยู่กับความสงบเย็น จิตสงบ ผ่องใส ลมหายใจเบา ละเอียด บางท่านเข้าสู่สภาวะที่ลมหายใจนั้นสงบ ระงับ ก็กำหนดรู้อยู่ในความนิ่ง ความหยุดของจิต ตัวหยุดคือ เอกัตคตารมณ์ จิตนิ่งหยุดเป็นหนึ่งเดียว เป็นอุเบกขารมณ์ คือสงบระงับเป็นอุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มีสติกำหนดรู้ แต่จิตหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง อยู่กับความสงบ อยู่กับความผ่องใส
จากนั้นให้เราทุกคน กำหนดเห็นจิตของเราเป็นแก้วประกายพรึก สว่าง ใจสบายๆ สภาวะที่เห็นนิมิต กำหนดเห็นในจิต รู้สึกในจิตว่าปรากฏดวงจิตของเราเป็นแก้ว กลมใส มีสภาวะเป็นเพชร มีแสงสว่างส่องเป็นประกายออกมาโดยรอบ ที่ประกายระยิบระยับแพรวพราว สภาวะภาพนิมิตที่ปรากฏในจิต ที่เรากำหนดขึ้นได้นี้ หากกำหนดจิตของเราเป็นกสิณ อันเป็นสมาธิที่อยู่ในหมวดของกสิณ อยู่ในหมวดของกรรมฐาน 40 กอง เราเห็นจิตที่เป็นประกายพรึก เป็นเพชรระยับระยับแพรวพราวแล้ว นั่นคือการที่เราปรากฏนิมิต ที่เรียกว่าปฏิภาคนิมิต
ปฏิภาคนิมิตที่เรากำหนดขึ้นนั้น เทียบได้กับการได้ฌาน 4 ในอานาปานสติ แต่กำลังของสมถะในกสิณนั้น มีกำลังสูงกว่า กำลังสมถะในอานาปานสติ เนื่องจากกสิณนั้นเป็นบาทฐานแห่งการได้อภิญญาสมาบัติ คือความรู้พิเศษมากกว่าปุถุชนคนธรรมดาที่เขาได้กัน คุณธรรมวิเศษที่เรียกว่าอภิญญานั้น ก่อให้เกิดญาณเครื่องรู้ต่างๆ อภิญญาต่างๆ อิทธิวิธีต่างๆ ญาณที่ก่อให้เกิดทิพยโสต เจโตปริยญาณ อนาคตังสญาณ อดีตังสญาณ ปัจจุปปันนังสญาณ ไปจนกระทั่งถึงการได้ในมโนมยิทธิ ที่เรียกว่าฤทธิ์ทางใจ ความหมายอันที่จริงของมโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจนั้น คือความสามารถที่บุคคลทรงกำลังฌานสมาบัติ ทรงกำลังจิต ยกกายทิพย์หรืออาทิสมานกาย ไปยังในภพภูมิต่างๆ ผ่านมิติไปยังอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ด้วยกำลังของอภิญญาจิต ควบกับพุทธบารมีของพระพุทธองค์ ที่ทรงสงเคราะห์ในการทรงภาพพุทธนิมิต ซึ่งก็คือพุทธานุสติกรรมฐาน
อันที่จริงแล้วมโนมยิทธิ ก็ถือว่าเป็นการใช้กายทิพย์ ออกไปในสถานที่ต่างๆ หากเป็นการฝึกในสมัยก่อน กว่าจะได้มโนมยิทธิ การถอดจิต ที่ใช้ภาษาโบราณว่า ถอดกายออกประดุจการชักหญ้าปล้องออกจากกายเนื้อ ถอดกายทิพย์ออกจากกายเนื้อออกมาได้ สมัยก่อนฝึกกันยากเย็นแสนสาหัส แต่ปัจจุบันก็เข้าสู่ยุณแห่งอภิญญาใหญ่ ผู้คนก็สามารถฝึกได้กันจำนวนหลายแสน หลายแสนท่านก็เป็นได้เป็นผลสำเร็จ อันที่จริงการถอดกายทิพย์ เคล็ดลับ หรือเคล็ดวิชาในการฝึกก็คือ ยิ่งตัดร่างกายมาก อารมณ์จิตเรายอมรับในการตัดร่างกายมากเท่าไหร่ เราพิจารณาตัดขันธ์ 5 ตัดร่างกายทำไม เราพิจารณาตัดขันธ์ 5 ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางขันธ์ 5 ก็เพื่อแยกกาย แยกจิต แยกรูป แยกนาม แยกกายเนื้อจากกายทิพย์
หากอารมณ์ใจเราไม่มีความห่วง ไม่มีความยึด เห็นสภาวะของร่างกายขันธ์ 5 เป็นอสุภสัญญาบ้าง พิจารณาในมรณานุสติบ้าง พิจารณาเห็นว่าในที่สุด จิตดวงนี้ก็ต้องออกจากสังขารร่างกาย คือกายทิพย์ในที่สุด ก็ต้องออกจากกายเนื้อ เมื่อถึงเวลาที่กายเนื้อนั้น หมดบุญ หมดวาระ หมดอายุขัย เราก็พิจารณาเห็นกายทิพย์ พิจารณาในความเป็นกายทิพย์ พิจารณาว่า กายที่ปรากฏที่เรียกว่ากายทิพย์หรืออาทิสมานกายนี้ คือตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นอมตะไม่มีการสูญสลายไปไหน แต่จิตหรือกายทิพย์นี้ มาอาศัยร่างกายเนื้อนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เป็นการเสวยกรรม เสวยบุญ ตามวิบากทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกรรมส่วนดี หรือกรรมส่วนอกุศลก็ตาม
เราพิจารณาเพื่อให้จิตเรายอมรับ ว่าเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อนี้ ยิ่งบุคคลใดมีความยึดมั่น ถือมั่น มีความเกาะ ความห่วง ในร่างกายเนื้อมากเท่าไหร่ ก็ยากที่จะถอดกายทิพย์หรืออาทิตสมานกาย ออกจากกายเนื้อยิ่งยากมากขึ้นเพียงนั้น และในทางตรงกันข้าม ยิ่งปล่อยวางรู้เท่าทัน กำหนดสภาวะในความเป็นกายทิพย์มากเท่าไหร่ พิจารณาเห็นจริงประจักษ์แจ้งในความเป็นกายทิพย์ได้มากไหร่ กายทิพย์ก็จะมีความเบามีความคล่องตัว สามารถเคลื่อนไปยังจุดต่างๆ ไปยังภูมิต่างๆ ได้โดยความรู้สึกด้วยกำลังของจิต ด้วยกำลังของสมาบัติ และสิ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือ กำลังของพุทธานุภาพที่มาสงเคราะห์ เคล็ดลับของวิชามโนมยิทธิก็คือ ยิ่งตัดวาง ยิ่งแยกรูป แยกนามมากเท่าไหร่ ละเอียดมากเท่าไหร่ ความคล่องตัว ความถูกต้อง ความชัดเจนของมโนมยิทธิยิ่งมีมากขึ้นเพียงนั้น
การปฏิบัติทุกสายถึงนี้หลักปฏิบัติสำคัญก็คือ การแยกรูป แยกนาม แยกกาย แยกจิต แยกกายเนื้อ กายทิพย์ พิจารณาตัดร่างกาย กายคตา ตัดขันธ์ 5 ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ทางสายวัดป่าก็ดี ทางสายพระกรรมฐานกองใดก็ดี ล้วนแล้วแต่มีแนวทางในการตัดรูป ตัดนาม เพียงแต่อาจจะใช้ภาษา หรือเทคนิคในการปฏิบัติ ที่มีข้อปลีกย่อยแตกต่างกัน แต่ท้ายสุดแล้ว ทุกการปฏิบัตินั้นร่วมลง สู่จุดเดียวคือ การแยกรูป แยกนาม เพื่อให้จิตเกิดปัญญาเห็นจริง ในความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 ร่างกาย เพื่อตัดร่างกาย จนจิตพิจารณาน้อมไปเห็นโทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ และปฏิบัติโดยท้ายสุดก็เพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด เฉกเช่นเดียวกันในการปฏิบัติทุกสาย
ตอนนี้ก็ให้เราทุกคนกำหนด เห็นจิตเป็นแก้วประกายพรึกระยิบระยับ ภายในดวงจิตปรากฏองค์พระ สว่างอยู่กลางดวงแก้วสว่างผ่องใส ดวงแก้วยิ่งสว่างขึ้นเป็นเพชรระยิบระยับ องค์พระชัดเจนระยิบระยับ ใจยิ่งสบาย ความรู้สึกรัศมีฉัพพรรณรังสี แสงสว่างที่เป็นรุ้งประกายพรึก จากพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ แผ่สว่างกระจายปกคลุมทั่วกายทิพย์ ทั่วกายเนื้อ ทั่วอาณาบริเวณสถานที่ที่เราฝึกสมาธิอยู่ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ไม่ว่าจะเป็นห้องหับในที่ใดก็ตาม ปรากฏแสงสว่าง กำลังพุทธคุณ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ปกคลุมคุ้มครองเต็มกำลัง
น้อมจิตของเราให้มีความเบา ความละเอียด จนรู้สึกสัมผัสได้ถึงสภาวะความเป็นทิพย์ ฉัพพรรณรังสี รัศมีแสงสว่างโดยรอบจากจิตจากองค์พระ มีประกายความพร่างพรายระยิบระยับ สว่างเป็นประกายระยิบระยับ รู้สึกถึงอนุภาคของพลัง อานุภาพแห่งความเป็นทิพย์ เหมือนกับรอบกายเรามีกากเพชรระยิบระยับแพรวพราว รายรอบปกคลุมอยู่ตลอดเวลา สัมผัสให้ได้ถึงความละเอียดเบา ความเป็นทิพย์ปรากฏ เกิดสนามพลังงาน เกิดกำลังแห่งพุทธานุภาพ เกิดสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ รายล้อมเต็มห้องหับที่เราฝึกสมาธิอยู่ ใจเรายิ่งเอิบอิ่ม ยิ่งผ่องใส ใจเรายิ่งสว่างขึ้น ปิติเป็นสุขขึ้น
จากนั้นน้อมจิต ตั้งจิตอธิษฐานขออาราธณาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ตั้งกำลังใจว่านับแต่นี้ กำลังพละศรัทธา คือความศรัทธาในพระรัตนตรัยของเรา เราขอนอบน้อมในพระพุทธเจ้า นอบน้อมในพระธรรม นอบน้อมในพระอริยสงฆ์ ตั้งจิตอธิษฐานว่า กำลังจิตของบุคคลคนอื่นในความศรัทธาในพระพุทธเจ้ามีเพียงใด เราไม่สนใจ แต่จิตของเรานับตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เมื่อไหร่จิตเราเห็นภาพพระพุทธรูป ภาพ หรือแม้แต่พระพุทธรูปจริงๆ จะเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในพระอุโบสถ ในพระวิหาร หรือพระพุทธรูปในเคหะสถานบ้านเรือนที่เราบูชา เมื่อไหร่เอาเห็นพระ จิตเราถึงพระพุทธเจ้าฉันนั้น
ความรู้สึกว่าตาเราเห็นภาพ จิตเราเห็นนาม อันนี้ตามขั้นตอนของหลวงตาม้า นั่นหมายความถึงว่า ตาเราเห็นภาพพระพุทธรูป ซึ่งแม้จะปั้นจากดิน จากปูน หรือเป็นพระโลหะก็ตาม แต่ความรู้สึกของจิตเรา จิตเราพุ่งไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานทุกครั้ง การกราบพระของเรานับตั้งแต่นี้ ไม่ใช่เพียงแต่กราบเพียงอาการ คือจริยาที่เราก้มลงกราบ ประนมมือขึ้น ก้มกราบแบมือกับพื้น แต่จิตของเรานั้น พุ่งไปกราบพระพุทธองค์บนพระนิพพานเสมอ หรือแม้แต่การทำทานทั้งหลาย กายเนื้อยกสังฆทานถวายคณะสงฆ์ หมู่สงฆ์ แต่อาทิตสมานกายของเรายกสังฆทานทิพย์ถวายพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพาน นั่นคือกำลังของมโนมยิทธิ
การที่เรากำหนดจิต การที่เราทรงอารมณ์ ด้วยเหตุนี้บุคคลทั้งหลาย ปฏิบัติธรรม แม้ว่าบางคนใช้เวลามาปฏิบัติเป็นเวลานาน หลาย 10 ปี หลาย 20 30 ปี แต่การปฏิบัติอันที่จริงแล้ว อยู่ที่การกำหนดจิตเป็นสำคัญ การกำหนดต่างกันผลลัพท์ของการปฏิบัติต่างกัน เรื่องเหล่านี้เหมือนกับ เคล็ดวิชาในการฝึกวิทยายุทธ์ การกำหนดจิตนั้น ส่งผลต่อกระแสจิต ต่ออานิสงฆ์ ต่อความก้าวหน้าของจิต
การพิจารณาตัดขันธ์ 5 ก็เช่นกัน หากเราเคยฝึกการพิจารณาตัดขันธ์ 5 ในขณะที่เราอยู่ในกายเนื้อ ใช้กายเนื้อในการตัดร่างกาย พิจารณาในอสุภสัญญาบ้าง จตุธาตุวะ คือธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้าง พิจารณาในอาการ 32 บ้างตัดขณะที่เรานั่งอยู่บนโลกมนุษย์ กับการที่เรากำหนดจิต ใช้กำลังของอาทิตสมานกาย ยกขึ้นไปบนพระนิพพาน พิจารณาตัดขันธ์ 5 บนพระนิพพาน ผล อารมณ์ใจ ความเข้าถึงการตัดกิเลสในส่วนลึก ในระดับของอนุสัยจิต ตัดบนพระนิพพานนั้นมีผลสูงกว่า เข้าลึกในจิตเราสูงกว่า
การตัดกิเลสนั้นให้เราอนุมาน พิจารณาไว้ว่าเหมือนกับ การใช้มีดตัด เฉือน เชือก คือสังโยชน์ 10 เป็นเครื่องร้อยรัดให้จิตเราอยู่ในสังสารวัฏนี้ วิปัสสนาญาณนั้น การพิจารณาปัญญาในวิปัสสนาญาณ อุปมาเหมือนกับความคมของมีด สมถะ อุปมาเหมือนกับกำลังของบุคคล ผู้ถือมีดและลงมีด ในการเฉือน ในการตัด ประหัตประหาร สรรพกิเลส หากปัญญามีความแก่กล้า แต่กำลังมีน้อย คือกำลังแห่งสมถะมีน้อย การตัดนั้นก็เฉือนลงไปได้เพียงผิวเผิน หากกำลังสมถะแรงกล้า แต่พละปัญญา คือปัญญาความลึกซึ้งพิสดาร ความละเอียดในการพิจารณาตัดกิเลสมีน้อย ก็อุปมาเหมือนมีดที่ถือ มีความทื่อ แม้บุคคลเป็นผู้มีแรงมีกำลัง แต่เถือลงแรงหนักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจตัดกิเลส ไม่อาจเข้าเนื้อ ไม่อาจเชือดเฉือน ให้เชือก ให้กิเลสนั้น มีริ้วรอยไปได้
ดังนั้นปัญญาที่พิจารณาโดยละเอียด พร้อมกับกำลังของสมถะ ยิ่งกำลังสมถะเราสูงเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังสูงสุดในต่างการตัดกิเลสก็คือ ใช้กำลังแห่งอรูปสมาบัติ คือกำลังที่สูงกว่าฌาน 4 หรือสมาบัติ 4 ในการตัดกิเลส การตัดกิเลสนั้นก็เข้าลงลึกในการตัดสังโยชน์ 10 ได้มากกว่าฉันนั้น
เมื่อเราเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งแล้ว เราก็น้อมจิตว่าพละปัญญาก็ดี พละศรัทธาก็ดี เราขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ถึงพร้อมในพละทั้ง 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพละปัญญา พละศรัทธา จิตมีความนอบน้อมเคารพ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จิตถึงพระพุทธองค์เสมอ กายทิพย์ที่ข้าพเจ้ายกขึ้นไปกราบพระพุทธองค์ ข้าพเจ้ายกไปกราบอย่างไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ความรู้สึกเวลาที่ถอดจิต พุ่งจิต พุ่งอาทิสมานกายไปกราบพระพุทธเจ้า ใจของข้าพเจ้าถึงซึ่งพระพุทธองค์ทุกครั้ง
จากนั้นให้เราน้อมจิต อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้อาทิตสมานกาย กายทิพย์ของข้าพเจ้าปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน กายทิพย์เป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ นั่งกระโหยงพนมมือ และค่อย ๆ น้อมกราบพระพุทธเจ้าแทบพระบาทขององค์พระศาสดาด้วยความเคารพ ความรู้สึกของเราอยู่บนพระนิพพาน ความรู้สึกของเราถ่ายทอดในผัสสะของกายทิพย์ ที่สัมผัสพระบาทของพระพุทธองค์ ค่อยๆ นอบน้อม กำหนดความรู้สึกในความละเอียดของจิต ว่าฝ่ามือของเราที่สัมผัสพระบาทของพระพุทธองค์นั้น พอเราถึง เรารู้สึกอย่างแท้จริง
จากนั้นกำหนดจิต นอบน้อมขอกระแสธรรม คือกระแสแห่งพระธรรมคุ้มครอง พระพุทธองค์จอจงปรากฏเป็นนิมิตดอกมะลิแก้วจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ที่เรากำลังกราบนี้ ค่อยๆหลั่งไหลลงมาก ถ่ายทอดลงมายังเหนือศีรษะของกายทิพย์เราที่กราบพระพุทธเจ้า ขอกระแสธรรม จงหลั่งไหลลงมาสู่กายทิพย์ของข้าพเจ้าทุกคน
จากนั้นกำหนดชีวิตต่อไป ขอบารมีครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านมีบุญวาสนาบารมี เมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้ามาในกาลก่อน ไม่ว่าใจอดีตชาติ ปัจจุบันชาติก็ดี ขอให้ท่านเมตตามาปรากฏอยู่เบื้องหน้าอาทิตสมานกายของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะมีกี่ท่าน กี่รูปก็ตาม ขออาทิตสมานกายท่านเมตตามาปรากฏ รวมถึงพ่อแม่ในอดีตชาติ และในชาติปัจจุบันของข้าพเจ้า หากพ่อแม่ของบางท่านเสียชีวิตแล้ว ก็ขอให้กายทิพย์ท่านมาโมทนามาปรากฏอยู่สถานที่แห่งนี้ด้วยเทอญ
จากนั้นกำลังจิต กราบ ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้การปฏิบัติบูชาที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ได้น้อมถึงท่านทั้งหลาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ พ่อเเม่ขอบุญกุศลจงส่งผลถึงท่านโดยตรง ขอจงเป็นบุญใหญ่ กำหนดน้อมจิตด้วยความเคารพ เมื่อกราบแล้ว กำหนดจิตต่อไป ขอให้อาทิตสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าทุกๆคนจงปรากฏสภาวะความผ่องใส สว่าง อย่างยิ่ง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง
กำหนดเห็นกายพระวิสุทธิเทพนั่งขัดสมาธิ บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว สว่างรออยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพาน กำหนดจิตพิจารณาน้อมในอารมณ์พระนิพพาน จิตที่พิจารณาเห็นโทษภัยในสังสารวัฏแล้ว เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของดวงจิต ของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของจิตเราที่ผ่านมามากมายมหาศาล เพราะภพหลายชาติแล้ว จนจิตเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย คลายความยึด คลายความปรารถนา เกิดการเบื่อการเกิด ใจคลายตัว พิจารณาว่าเมื่อเราขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ถอดกายเนื้อทิ้งไว้ปรากฏในความกายทิพย์ สังขารุเบกขาญาณ คือความเบื่อหน่าย คลายจากความเกาะ ความยึดในขันธ์ 5 ร่างกาย ก็จาง ก็สลาย ก็คือก็เบาลงอย่างยิ่ง การถอดกายทิพย์ออกจากกายเนื้อ แยกรูปแยกนามได้ หมายความถึงว่ากำลังแห่งสังขารุเบกขาญาณ ของเรานั้นมีมากกว่าปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ที่เขายังเกาะยึดหนาแน่น เกาะในกาย เกาะก็ในกาม เกาะในเกียรติ เกาะในความเป็นร่างกาย กลัวตาย จิตของเราแยกกายทิพย์ออกมา ปรากฏในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ สังขารุเบกขาญาณของเราปรากฏแจ่มชัดกระจ่างมีกำลังเต็มสมบูรณ์ ซึ่งกำลังแห่งสังขารุเบกขาญาณนี้ เป็นกำลังสำคัญในการตัดสรรพกิเลสทั้งปวงเข้าสู่อรหันตผล
ให้เราน้อมจิตพิจารณาเมื่อในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ มีความยินดีคือธรรมฉันทะอยู่ในพระนิพพาน ยินดีในการดับไม่เหลือเชื้อ ไม่เกิดอีกต่อไป ซึ่งหากเราทรงอารมณ์นี้ไว้ได้สม่ำเสมอทุกวัน ตลอดระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ กำลังฌาณ กำลังสมาธิ กำลังบารมีที่สะสมไว้ รวมถึงกำลังอธิษฐานบารมี ที่เราตั้งจิตไว้เสมอว่า ตายเมื่อไหร่ ขอขึ้นมาบนพระนิพพาน และความเพียร บารมีที่สะสมบ่มตัว การที่เราปฏิบัติยกจิตขึ้นมากราบพระพุทธเจ้า ยกจิตขึ้นมาทรงอารมณ์บนพระนิพพานทุกวัน บารมี วิริยะบารมี ความเพียร จะสะสมบ่มตัว จนกระทั่งการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานของเรานั้น กลายเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินวิสัย เป็นเรื่องที่เราทำได้แน่นอน
ให้เราน้อมจิตพิจารณา เปรียบเทียบดูระหว่างบุคคลที่ไม่เคยยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ ไม่ว่าจะเป็นวิสัยของสุขวิปัสสโกก็ดี หรือเขาไม่ได้ฝึกในแนวทางของการแยกกายทิพย์ การฝีกด้วยกำลังของมโนมยิทธิก็ดี แต่เขายังมีความมุ่งมั่นที่จะยกจิตเข้าถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้ เราปฎิบัติ สามารถยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ตั้งแต่ยังมีชีวิต เเต่กำลังใจเราจะท้อถอยไม่ยอมที่จะเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่าชาตินี้เรามาถึงซึ่งพระนิพพานได้เชียวหรือ ให้เราพิจารณาดูให้ดี เพื่อให้จิตนั้นเกิดกำลังจิต กำลังใจ เราก้าว เราปฏิบัติมาขนาดนี้แล้ว กำลังศรัทธาของเรามีความมั่นคงไหม ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติ ความลังเลสงสัยว่าเราจะมาพระนิพพานได้หรือไม่ได้ ความลังเลสงสัย ที่เรียกว่าวิจิกิจฉาขาดสะบั้นจากจิตหรือยัง สังโยชน์ตัวนี้เป็นสังโยชน์ในองค์แห่งพระอริยเจ้าเบื้องต้นคือพระโสดาบัน
ดังนั้นหากเราก้าวสู่ความเป็นพระโสดาปัตติมรรค จนกระทั่งพระโสดาปฏิผล ความสงสัยในพระนิพพานความสงสัยในการปฏิบัติ ความสงสัยว่าเราจะมาพระนิพพานได้หรือไม่ได้ มันจะจางมันจะขาดไปจากจิตเรา หากใจเรายังสงสัยว่ามาได้หรือไม่ได้นี่แปลว่า วิจิกิจฉายังเต็มล้นในจิต ยกจิตมาได้จริง ไม่จริง ก็คือวิจิกิจฉา เราก็ต้องถามจิตเราไม่ต้องไปถามคนอื่นว่าเรามาได้ มาไม่ได้ จุดสำคัญคือเราเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ว่าเรายกจิตมาบนพระนิพพานได้หรือไม่ถ้าเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า และทบทวนทรงในอารมณ์อุปมานุสติกรรมฐาน คืออารมณ์นิพพาน และปรากฎชัดเจนนั่นก็แปลว่าเรามาได้จริงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่เพียงแค่ภาพที่มโน มานึกไปตามศัพท์ ตามภาษา ที่บุคคลที่เขาไม่ปฏิบัติ พูดทับศัพท์ว่ามโนไปเอง
เรายกจิตมากราบพระพุทธเจ้า ทรงอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาตัดสังโยชน์ ตัดความผูกพันธ์ ตัดความเกาะเกี่ยวในภพ ตัดความปรารถนา ความเกาะยึดในการเกิดในภพภูมิต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งอารมณ์ในการพิจารณาบนพระนิพพานนี้ มันไม่ใช่มโน มานึก อย่างที่คนอื่นเขากล่าว แต่เราเข้าถึงอารมณ์แห่งพระนิพพาน คืออารมณ์ในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพานนี้ ความอยาก ความปรารถนาทั้งปวงไม่มีจิตของเรา ความเกาะ ความยึดที่เราอยากไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นพรหม ไม่มีในจิตของเรา เชื้อความปรารถนาที่อยากให้เราไปเกิดจุติ พบเจอคู่บารมี คู่ครอง ไม่มีในจิตของเรา เราปรารถนาเพียงการดับไม่เหลือเชื้อ อยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับครูบาอาจารย์บนพระนิพพาน ไม่มาเกิด ไม่มาจุติอีกต่อไป อารมณ์จิตที่พิจารณาเช่นนี้ ไม่ใช่อารมณ์ที่คิดไปเอง แต่เป็นอารมณ์จิตที่พิจารณาใคร่ครวญ เปรียบเทียบจนจิตคลายจากความเกาะยึด คลายจากสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ คลายจากความยึดมั่น ถือมั่นในภพภูมิทั้งปวง
ให้เรากำหนดจิตพิจารณา ในอารมณ์พระนิพพาน อยู่ในอารมณ์ อยู่ในสภาวะแห่งความเป็นพระวิสุทธิเทพ ทรงพระกรรมฐานอยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ทรงอารมณ์พิจารณา กิจทั้งหลายจบแล้ว กิเลสทั้งหลายไม่อาจกล้ำกราย หรือมีผลกับจิตเราอีกต่อไป อวิชา ความหลงในภพภูมิทั้งหลายสิ้นจากจิตของเรา กรรมและวิบากทั้งหลายไม่อาจกระทำเกิดผลกับเราได้อีกต่อไป จิตของเราในขณะนี้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นอมตะธรรม พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งปวง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ใจของเราสิ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง การเบียดเบียนทั้งปวง
กำหนดพิจารณาเช่นนี้ แม้ว่าการทรงอารมณ์เช่นนี้ เราจะทรงได้เต็มกำลังเฉพาะเวลาที่ น้อมอาทิตสมานกาย ยกอาทิตสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพานก็ตาม แต่กำลังบารมี กำลังววิปัสสนาญาณสะสมบ่มตัวทีละน้อยๆ ทุกนาที ทุกวัน ทุกการพิจารณา เรายิ่งใกล้พระนิพพานขึ้นในทุกวัน เฉกเช่นเดียวกันกับความตายหรือมรณานุสติ ทุกวันเรายิ่งก้าวใกล้ความตายขึ้นทุกวันฉันใด แต่ใจเรามีกำลังจิตในการปฏิบัติ เพราะทุกวันที่เราก้าว ทุกวันที่เราใกล้ความตาย เราก็ใกล้พระนิพพานขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน การปฏิบัติของเราในทุกวันนั้น ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
ทรงอารมณ์ใจของเราให้ผ่องใส สว่าง จนเห็นอาทิตสมานกายของเราเปร่งแสงสว่าง สภาวะโดยรอบมีความเป็นทิพย์ สว่างปรากฏ กาย จิต ของเราผ่องใสอย่างยิ่ง จิตสบายอย่างยิ่ง กายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพของเราตอนนี้ ซึมซับรับกระแสแห่งพระนิพพานไว้ กระแสธรรม กระแสการพิจารณา กระแสของพระอรหันต์ ผู้สิ้นจากสรรพกิเลส ซึมซาบ ซึมซับลงสู่กายทิพย์ของเราทุกคน
น้อมจิตพิจารณา ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระหัตถ์ทุกพระองค์ ท่านได้พิจารณาธรรมนั้นอย่างลึกซึ้ง กระจ่างแจ้ง ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารแล้ว ขอกระแสปัญญาแห่งการพิจารณาเพื่อตัดสรรพกิเลส ของกระแสแห่งพละบารมีของทุกท่าน ทุกพระองค์ จงหลั่งไหลลงมาสู่จิต สู่ใจ ของข้าพเจ้า ให้การตัดสรรพกิเลสทั้งหลาย อภิญญาสมาบัติทั้งหลาย คุณธรรมวิเศษและญาณเครื่องรู้อันวิจิตร วิมุติ บริสุทธิ์หมดจด จงปรากฏกระจ่างขึ้นในจิตของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ
ยิ่งทรงงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานมากเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ พิจารณาบ่อยเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ จิตข้าพเจ้ายิ่งเกิดปัญญาญาณแห่งการรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง ได้อย่างแตกฉานลึกซึ้งมากขึ้นเพียงนั้นด้วยเทอญ
กาย จิต สบาย ผ่องใส กายทิพย์ยิ่งสว่างขึ้น จิตเป็นสุขขึ้น พิจารณาภาวนาบริกรรม
นิพพานัง ปรมัง สุขขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
นิพพานัง ปรมัง สุญญัง พระนิพพานเป็นความว่างจากภาระ จากกิจ จากกิเลสทั้งหลายอย่างยิ่ง
จิต สบาย สว่าง สงบนิ่งอยู่บนพระนิพพาน
น้อมจิตต่อไป ขอกระแสพระนิพพานจงแผ่เป็นกระแสเมตตาจากพระนิพพาน พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงเอื้อเอ็นดู ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาธิคุณ ต่อสรรพสัตว์ เวไนยสัตว์ทั้งหลายเพียงใด ข้าพเจ้าขอน้อมกระแสอาราธนา กระแสพระพุทธเมตตาของทุกท่านบนพระนิพพานลงมาสู่โลก ลงมายังภพภูมิทั้งหลาย ขอน้อมกระแสจากพระนิพพาน เป็นความปรารถนาดี เป็นความสุข เป็นความผ่องใส เป็นกำลังบุญลงมาสู่ทุกท่าน ณ อรุปพรหมทั้ง 4 น้อมลงมายังดวงจิตของพรหมทุกท่าน ณ พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น น้อมกระแสลงแม่ยังอากาศเทวดา สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น น้อมกระแส น้อมกระแสบุญลงมา กระแสจากพระนิพพานลงมา ยังรุกขเทวดาทั้งปวง ภุมเทวดาทั้งปวง พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาทั้งหลาย มิติทับซ้อนภพภูมิ เมืองบังบด เมืองลับแล เมืองบาดาลทั้งหลาย แผ่เมตตายังดวงจิตของสรรพสัตว์ ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่มีรูป มีกาย ทั่วโลกและทั่วทั้งอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาลงไปยังดวงจิตของโอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลาย แผ่ต่อไปอย่างภพของเปรตอสูรกายที่รอรับส่วนบุญทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังนรกทุกขุม ขอกระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาไปยังทุกภพ ทุกภูมิ ขอกระแสจากพระนิพพานส่องจำเพาะเจาะจงลงมาเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์พิเศษ กำลังแห่งพุทธานุภาพเต็มกำลัง อาราธนาลงมายังวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทั้งปวง ทุกแห่ง ทุกที่ ทั่วโลก ขอกระแสพุทธคุณ กำลังพุทธคุณ ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ จงสถิตย์ยังพระพุทธรูปทุกพระองค์ พระเครื่องทุกพระองค์ พระบรมสารีริกธาตุ พระธรรมธาตุ พระเจดีย์ พระมหาเจดีย์ ตะกรุด วัตถุมงคลทั้งหลาย ขอจงปรากฏเทวดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ คุ้มครองให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ยังพระพุทธรูปวัดวาอาราม และพระวิหารทั้งหลาย
ขอบุญพิเศษจากพระนิพพานส่องตรงลงมยังเทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พญานาค ครุฑ นาค ดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่ปกปักษ์รักษาพระพุทธศาสนา รุกขเทวดา ภูมิเทวดา เสื้อวัด เสื้อบ้าน เสื้อเมือง ที่ท่านคุ้มครองดูแลขอจงกระแสบุญส่งตรงถึงทุกท่าน ทุกรูป ทุกนาม ขอกระแสบุญจากพระนิพพานเมตตาส่งตรงลงมายังเรา ผู้ปฏิบัติธรรมและพุทธบริษัท 4 ทุกท่าน ขอกระแสแห่งสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปฏิบัติ กระแสธรรมจากพระนิพพานจงไหลลงมายังทุกท่าน ทุกรูป ทุกนาม พุทธบริษัท 4 ทั้งหลาย ขอจงปรากฏกำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังกระแสจากพระนิพพานเชื่อมญาณ เชื่อมจิต ให้เกิดความก้าวหน้าอัศจรรย์กันทุกท่าน ทุกรูป ทุกนามด้วยเทอญ
ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาสู่เทวดา พรหม ที่ปกปักษ์รักษาดูแลเราแต่ละคนในการเจริญพระกรรมฐาน ขอท่านมีส่วน มีบุญกุศล มีกำลังแห่งบุญยฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์เต็มกำลัง ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าอาจลืมไม่ได้ขอ ก็ขอให้ท่านช่วยเมตตาโดยอัตโนมัติด้วยเทอญ
ขอบารมีแห่งบุญกุศล แห่งการปฏิบัติ เปิดสายบุญ เปิดสายทรัพย์ เปิดสายสมบัติอัศจรรย์ หนทาง ช่องทาง อาชีพ การงาน ที่เงินจะเข้า เงินจะไหลมา เงินจะเข้ามา ทรัพย์ทั้งหลายจะเข้ามา ลาภลอยทั้งหลาย โชค มหาโภคทรัพย์ทั้งหลายจะหลั่งไหลมา ขอจงเปิดประตูบุญ ประตูกุศล สายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ
จงหลั่งไหลมาสู่ข้าพเจ้าทุกคน เนืองนองคล่องตัวในทุกทิศทุกทาง โอกาสจงเปิด หนทาง ช่องทางจงเปิดอัศจรรย์ด้วยเทอญ
กำหนดน้อม บางคนในความเป็นทิพย์ ก็จะเห็นเหรียญเงินเหรียญทอง เพชรนิลจินดาโปรยปรายหลั่งไหลมารายรอบ กำหนดน้อมโมทนาสาธุ ขอบคุณ ขอภาคทิพย์เปิด ขอภาคหยาบ วัตถุธาตุ ทรัพย์ เงินทองความคล่องตัว สินทรัพย์ที่จับต้องได้ ใช้การได้ สร้างบารมีได้ จงปรากฏเป็นรูปธรรม ภาคทิพย์เปิด ภาคหยาบจงปรากฏอัศจรรย์ทันใจสาธุ สาธุ สาธุ
จากนั้นน้อมใจนะ ทำใจให้ผ่องใส กำหนดน้อมอาทิตสมานกาย กราบพระพุทธเจ้า กราบครูบาอาจารย์ กราบท่านผู้มีพระคุณที่ปรากฏในจิตของเรา กำหนดกราบด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความรัก ด้วยความศรัทธา กราบจนจิตเราถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรมเจ้า ถึงพระสงฆเจ้าอย่างแท้จริง ใจมีความอิ่มเอิบ ใจมีความปิติสุข ใจมีความยินดี ไม่กำหนดใจว่าตั้งแต่นี้เราดึงศักยภาพสูงสุดในการปฏิบัติธรรมของเราออกมา จิตเราเกิดปัญญา จับหลัก จับแก่นสำคัญในการปฏิบัติ จนการปฏิบัติเราเกิดผลรวดเร็วขึ้น ก้าวหน้าขึ้นอย่างอัศจรรย์ เมื่อกราบลาทุกท่านแล้ว จึงค่อยๆหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ทำจิตให้เบา ผ่องใส สบาย
หายใจเข้า พุทธ ออกโธ กระแสธรรม กระแสกุศลหลั่งไหลลงมาสู่กาย วาจา ใจ จิตของเรา สว่าง เอิบอิ่ม
หายใจเข้าลึกๆ ธัมโม กระแสธรรมหลั่งไหล กระแสคุณธรรม คุ้มครอง คุ้มกันตัวเราให้รุ่งเรือง ให้เกิดปัญญาญาณ
หายใจเข้าลึกๆ ครั้งที่ 3 สังโฆ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยสงฆ์ เกื้อกูลสงเคราะห์ช่วยเหลือ ส่งเสริมเราเต็มกำลังทั้งทางโลก ทางธรรม กาย จิตของเราผ่องใส กายเนื้อปรากฏรัศมีความอิ่มบุญ ออร่าสว่าง กระจาย จิตมีความเบา มีความสุข โมทนาสาธุ น้อมจิตโมทนาสาธุ ยินดีกับเพื่อนๆ กัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน โมทนาสาธุกับท่านที่มาฟังภายหลัง มาฝึก มาปฏิบัติในภายหลัง
กำหนดจิตว่าขอให้เราเป็นผู้ที่มีความสุข ความเจริญ ทั้งทางโลกและก็ทางธรรม ขอให้เรานับจากนี้ มีความคล่องตัว เกิดความอัศจรรย์ในการปฏิบัติทุกคน ใจเอิบอิ่ม ปิติ เบิกบาน มีความสุขทั้งก่อนปฏิบัติ จิตปิติผ่องใส ทั้งในยามปฏิบัติ จิตมีความสุข ผ่องใสอย่างยิ่งแม้ปฏิบัติเสร็จแล้วก็ตาม บุญคุ้มครองรักษาเราทุกคนไปตลอดกาลตราบถึงซึ่งพระนิพพาน อยู่ในสาย อยู่ในกระแสแห่งโลกุตระธรรมอย่างแท้จริง สำหรับวันนี้ก็จบสำหรับการปฏิบัติ สำหรับท่านใดที่มีความศรัทธาก็สามารถเขียนแผ่นทองอธิษฐาน ทรงอารมณ์พระนิพพาน แล้วเขียนคำอธิษฐานพระนิพพานได้ ถึงแม้ว่าเขียนแล้ว ก็เขียนอีก เขียนซ้ำได้ ใครที่เขียนครบหมดแล้ว ก็สามารถแจ้งขออีกได้ ตามแบบฟอร์มที่อยู่ในเว็บไซต์ของเมตตาสมาธิ นะครับ สามารถอธิษฐานช่วยกัน จะได้ การสร้างพระจะได้สำเร็จ ให้ครบแสนแผ่นให้ได้เร็ววัน สำหรับวันนี้ก็โมทนากับทุกคนนะครับ ขอให้ทุกคนเปิดบารมี เปิดบุญ เปิดกระแส ทั้งมหาโภคทรัพย์ในมนุษย์สมบัติ แล้วก็ทิพยสมบัติจนถึงซึ่งพระนิพพานสมบัติกันทุกคน สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว